สถานที่ที่เคยไปเที่ยวในจังหวัดมหาสารคาม

14:17:00 0 Comments

10 ที่เที่ยวแนะนำเมื่อมาเยือนจังหวัดมหาสารคาม เมืองตักศิลาแห่งอีสาน


จังหวัดมหาสารคาม เป็นจังหวัดที่ตั้งอยู่กลางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ บรรยากาศของเมืองมีความเงียบสงบและเรียบง่ายตามแบบฉบับของเมืองอีสาน อีกทั้งในปัจจุบันยังมีความสำคัญในฐานะเป็นศูนย์กลางด้านการศึกษาแห่งหนึ่งของภูมิภาค เนื่องจากมีสถาบันการศึกษาอยู่มากมาย จึงได้ชื่อว่าเป็น "ตักศิลาแห่งอีสาน" 
จังหวัดมหาสารคาม มีทรัพยากรการท่องเที่ยวที่โดดเด่นในด้านประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และประเพณี และเนื่องจากยังมีความเจริญไม่มากนัก ผู้ที่มาเยี่ยมเยือนเมืองมหาสารคามนี้ จึงได้สัมผัสกับวิถีชีวิตชาวอีสานอันเรียบง่ายและบริสุทธิ์ เป็นเสน่ห์ที่นับวันจะหาได้ยากในสังคมเมืองปัจจุบัน 


1. สะพานไม้แกดำ  

              สะพานไม้แกดำ อีกหนึ่งสะพานไม้เก่าแก่ในบรรยากาศแบบท้องทุ่ง เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ของจังหวัดมหาสารคามที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์ และเที่ยวชม เพื่อสัมผัสของกลิ่นไอแห่งความเป็นชาวบ้านกับสะพานที่ทอดตัวยาวท่ามกลางหนองน้ำแกดำไกลสุดตากว่า  1 กิโลเมตร ท่ามกลางบึงบัวและพืชน้ำสีเขียวและความหลากทางธรรมชาติ  ถือว่าเป็นสะพานสุด unseen  อีกแห่งหนึ่ง ที่ควรค่าแห่งการเดินทางมาเช็คอิน 



              สะพานไม้แกดำ  ตั้งอยู่ที่วัดดาวดึง อำเภอแกดำ จังหวัดมหาสารคาม เป็นสะพานไม้เก่า อายุราวกว่า 50 ปี  ที่ชาวบ้านใช้เป็นเส้นทางข้ามอ่างเก็บน้ำหนองแกดำ โดยเชื่อมระหว่างบ้านหัวขัวกับหมู่บ้านแกดำ แต่ก่อนสะพานไม้นี่ทรุดโทรมาก ชาวอำเภอแกดำพร้อมด้วยกำลังทหาร ช่วยกันซ่อมแซมสะพานไม้ โดยหวังให้ชาวบ้านได้ใช้ประโยชน์และอนุรักษ์ไว้ให้อนุชนรุ่นหลังได้ศึกษา รวมถึงพัฒนาสะพานไม้เก่าแก่แห่งนี้ ให้เป็นสถานที่ถ่ายภาพและเป็นแหล่งท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดมหาสารคาม




               สะพานไม้ที่ทอดยาวไปยังอ่างเก็บน้ำหนองแกดำซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวตามธรรมชาติของอำเภอแกดำ มีเนื้อที่ประมาณ 1,000 ไร่ ครอบคลุม 3 หมู่บ้าน ได้แก่ บ้านแกดำ บ้านหัวขัว บ้านโพธิ์ศรี  เป็นแหล่งน้ำธรรมชาติที่มีความสำคัญต่อชาวอำเภอแกดำ เพราะเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลา มีความหลากหลายทางชีวภาพทั้งสัตว์น้ำ พื้ชน้ำ เช่น บัวแดง แหน สาหร่ายหางกระรอก เป็นต้น นอกจากนี้ในหน้าหนาวยังสามารถพบเห็นนกเป็ดน้ำบินหนีหนาวมาจากไซบีเรีย มาอาศัยในบริเวณหนองแกดำด้วย

2. อุทยานมัจฉาโขงกุดหวาย


             
                 อุทยานมัจฉาโขงกุดหวาย เรียกว่าเป็นสถานที่แหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์เชิงชนบท โดยได้รับการประกาศเป็นแหล่งท่องเที่ยวของจังหวัดมหาสารคามเมื่อปีพ.ศ.2540 เนื่องจากแหล่งท่องเที่ยวแห่งนี้มีฝูงปลาหลายร้อยชนิดที่มาจากแม่น้ำชีได้ทะลักเข้ามาอยู่ตั้งแต่ตัวเล็กไปจนถึงตัวใหญ่  และส่วนมากจะเป็นปลาเผาะซึ่งเป็นปลาเนื้ออ่อน ต้นตระกูลของปลานี้จะอยู่ในแม่น้ำโขง ชาวบ้านส่วนใหญ่อนุรักษ์ไว้เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้มาดูและศึกษาชนิดพันธุ์ปลาต่างๆเหล่านี้




3.  พิพิธภัณฑ์มหาวิทยาลัยมหาสารคาม

                  พิพิธภัณฑ์มหาวิทยาลัยมหาสารคามเป็นแหล่งเรียนรู้เพื่อปลูกจิตสำนึกในคุณค่าแห่งตัวตน และสร้างสรรค์องค์ความรู้ด้านพิพิธภัณฑ์เพื่อการพัฒนาสังคม เป็นสถานที่ที่สื่อสารถึงอัตลักษณ์ของมหาวิทยาลัยมหาสารคามที่มีจุดเริ่มต้นและพัฒนาการอย่างมีความหมายและความสำคัญควบคู่มากับพัฒนาการของสังคม เป็นศูนย์กลางแห่งการพัฒนาองค์ความรู้ด้านพิพิธภัณฑ์เพื่อส่งเสริมให้สังคมได้รับประโยชน์จากกิจการพิพิธภัณฑ์ ทั้งในด้านการปลูกจิตสำนึกแห่งคุณค่าและความสำคัญของท้องถิ่น และการจัดการพิพิธภัณฑ์ให้เป็นแหล่งเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ ตลอดจนสนับสนุนการจัดการเรียนการสอนและการวิจัยในสาขาวิชาต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ด้านประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา พิพิธภัณฑ์ศึกษา  และเพื่อใช้เป็นสถานที่พักผ่อนและจัดกิจกรรมต่างๆ สำหรับนิสิต หน่วยงานในมหาวิทยาลัย และบุคคลโดยทั่วไป 


               ภายในพื้นที่โครงการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์มหาวิทยาลัยมหาสารคามได้แบ่งพื้นที่
ใช้สอยออกเป็น 8 ส่วน ดังนี้
            1. เรือนอีสานประยุกต์หลังใหญ่  ประกอบด้วย  สำนักงาน  ห้องประชุมใหญ่  ห้องประชุมย่อย  ห้องรับรอง  คลังพิพิธภัณฑ์  หอจดหมายเหตุมหาวิทยาลัยมหาสารคาม  และนิทรรศการพัฒนาการมหาวิทยาลัยมหาสารคาม 
            2. เรือนอีสานประยุกต์หลังเล็ก  ประกอบด้วยนิทรรศการพัฒนาการมหาวิทยาลัยมหาสารคาม  และพื้นที่สำหรับจัดนิทรรศการหมุนเวียน
            3. เรือนโข่ง  ปัจจุบันเป็นที่ตั้งชมรมนาฏศิลป์และดนตรีพื้นเมืองมหาวิทยาลัยมหาสารคาม
            4. เรือเกย ปัจจุบันเป็นที่ตั้งโครงการอนุรักษ์ใบลานในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
            5. เล้าข้าว  ตูบต่อเล้า จัดแสดงเครื่องมือเครื่องใช้ในวิถีชีวิตชาวลุ่มแม่น้ำชี
            6. เรือนผู้ไท  จัดแสดงนิทรรศการภูมิปัญญาชาวลุ่มแม่น้ำชี
            7. ลานกิจกรรม  เป็นพื้นที่สำหรับจัดกิจกรรมกลางแจ้ง
            8. สถานีศึกษาสัตว์








4.พระพุทธมงคล พระพุทธมิ่งเมือง

         พระพุทธมงคลพระพุทธมิ่งเมือง เป็นพระพุทธรูปสำคัญ ถือเป็นพระคู่บ้านคู่เมืองอยู่ 2 องค์ คือพระพุทธมงคลและพระพุทธมิ่งเมืองเป็นพระเก่าแก่ เป็นโบราณวัตถุ และเป็นที่เคารพสักการบูชาของชาวอำเภอกันทรวิชัยมาแต่ครั้งโบราณ นอกจากนี้ยังมีพระพิมพ์ที่มีเนื้อดีเป็นที่นิยมของผู้สะสมพระเป็นอย่างยิ่ง  เป็นพระพุทธรูปที่ชาวบ้านศรัทธานับถือกันมาก เชื่อกันว่าท่านจะช่วยในเรื่องของความอุดมสมบูรณ์ ให้ฝืนดินฝนตกชุ่มฉ่ำตกต้องตามฤดูกาลอีกด้วย







5. พระธาตุนาดูน

              พุทธมณฑลแห่งอีสาน ตั้งอยู่ที่บ้านนาดูน เขตอำเภอนาดูน เป็นเขตที่มีการขุดพบหลักฐานทางประวัติศาสตร์ โบราณคดีที่แสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองในอดีต



              พระธาตุนาดูน เป็นโบราณวัตถุที่มีอายุมากกว่า 1,300 ปี เป็นสถูปที่ใช้บรรจุพระสารีริกธาตุ ลักษณะสถูปทำด้วยทองสำริด มีส่วนประกอบ 2 ส่วน
          1. ส่วนยอด มีลักษณะ เป็นปล้องไฉน จำนวน 2 ปล้อง ส่วนบนสุดเป็นปลียอดกลม
          2. ตัวสถูปทำด้วยทองสำริด มีลักษณะคล้ายระฆังหรือโอคว่ำ ส่วนยอดของตัวสถูป จะรับเข้ากับส่วนล่างสุดของส่วนยอดพอดี ตัวองค์พระธาตุจะแบ่งออกเป็น 16 ชั้น ลักษณะการก่อสร้างแบบคอนกรีตเสริมเหล็กทั้งหมด ภายในโปร่งจากฐานรากขึ้นไปชั้นที่1 สูง 3.7 เมตร  

6. วนอุทยานโกสัมพี

                   วนอุทยานโกสัมพี (KOSUMPEE FOREST PARK) ตั้งอยู่ในเขตท้องที่เขตเทศบาลเมืองโกสุมพิสัย อำเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคามบริเวณ เขตวนอุทยานโกสัมพี มีเนื้อที่ ประมาณ 125 ไร่ ประกอบด้วยพื้นที่ดำเนินการ 2 ส่วน พื้นที่ส่วนที่ 1 ใช้สร้างอาคารสำนักงาน บ้านพักรับรอง บ้านพักเจ้าหน้าที่และอื่น ๆ พื้นที่ส่วนที่ 2 ใช้เป็นพื้นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าใช้สำหรับศึกษาธรรมชาติ และพักผ่อนอันประกอบไปด้วยป่าไม้ ลำน้ำชี แก่งตาด ลานข่อย และฝูงลิงแสม ประวัติวนอุทยานโกสัมพี


                    เดิมพื้นที่วนอุทยานโกสัมพี เป็นที่ดินสาธารณประโยชน์ (ดอนมเหศักดิ์) ตั้งอยู่บ้านคุ้มกลาง ตำบลหัวขวาง ในเขตเทศบาล ตำบลหัวขวาง อำเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม อยู่ติดแม่น้ำชี และมีองค์หลวงพ่อมิ่งเมือง ซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คู่บ้าน คู่เมืองของชาวอำเภอโกสุมพิสัยกราบไหว้บูชา นอกจากนี้ยังมีดอนปู่ตา พื้นที่มีสภาพเป็นป่าไม้เบญจพรรณ ต้นไม้ส่วนใหญ่เป็นไม้ยืนต้นขึ้นเป็นจำนวนมากและมีฝูงลิงแสมอาศัยอยู่เป็นจำนวน กว่า 500 ตัว ป่าหนองบุ่งแห่งนี้ เป็นสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ มีศาลเจ้าปู่ ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือของชาวอำเภอโกสุมพิสัยแม้แต่ลิงแสมที่อาศัยอยู่เขตวนอุทยานโกสัมพีก็เชื่อกันว่า เป็นลิงของเจ้าปู่ไม่มีใครกล้าแตะต้อง




แต่เนื่องจากพื้นที่แห่งนี้ไม่มีเจ้าหน้าที่ดูแลรับผิดชอบโดยตรงทางจังหวัดมหาสารคามจึง ได้เสนอขอให้กรมป่าไม้มาดำเนินการจัดการพื้นที่สาธารณประโยชน์แห่งนี้ให้เป็นวนอุทยานเพื่อให้เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของประชาชนโดยทั่วไปและกรมป่าไม้โดยส่วนอุทยานแห่งชาติจึงได้เข้ามาดำเนินการแต่งตั้งเป็นวนอุทยาน ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2519 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบันโดยมีชื่อว่า "วนอุทยานโกสัมพี"


7.อ่างเก็บน้ำแก่งเลิงจาน

               สวนสุขภาพแก่งเลิงจาน ติดกับอ่างเก็บน้ำแก่งเลิงจาน และศูนย์วิจัยพัฒนาสัตว์น้ำจืดมหาสารคาม ถนนเลี่ยงเมืองมหาสารคาม เป็นสถานที่พักผ่อนและเป็นสถานที่ออกกำลังกายแถบชานเมือง มีทิวทัศน์สวยงาม รับผิดชอบโดยองค์การบริหารส่วนจังหวัดมหาสารคาม ได้ตั้งงบประมาณเพื่อปรับปรุงสวนสุขภาพแห่งนี้ ตั้งแต่ปี พ.ศ.2529 สวนสุขภาพแก่งเลิงจาน ประกอบด้วย สวนดอกไม้ สระน้ำ หาดทราย ไม้ยืนต้นหลากหลายชนิด และอยู่ใกล้ พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำจืด ซึ่งได้รวบรวมพันธ์ปลาหายากและใกล้สูญพันธ์หลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นปลาจากลำน้ำชี ลำน้ำโขง เปิดให้ชมตั้งแต่เวลา 09.00 -16.30 น.ทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการหรือนักขัตฤกษ์ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ไปพักผ่อนที่สวนสุขภาพแก่งเลิงจาน จะได้สูดอากาศที่บริสุทธิ์ ทั้งยังได้ออกกำลังกายและดูสัตว์น้ำด้วย





8.หาดวังโก

                หาดวังโก เป็นหาดทรายธรรมชาติ เกิดจากธรรมชาติของแม่น้ำที่น้ำไหลผ่านโค้งน้ำ ตะกอนทรายจะไหลไปทับถมเกิดเป็นหาดทรายโดยธรรมชาติ หาดวังโกก็เช่นเดียวกันตั้งอยู่บนโค้งของแม่น้ำชีซึ่งยาวประมาณ 1 กม. หัวท้ายของหาดถูกกั้นไว้ด้วยแก่งทั้งสองด้านด้านซ้ายมือเรียกว่า แก่งบ้านห้วยและขวามือเรียก แก่งท่าเตาดิน ทั้งสองแก่งทำหน้าที่เหมือนฝายทดน้ำธรรมชาติ(ลักษณะของแก่งทั้งสองจะเหมือนกัน กล่าวคือ จะเป็นลานหินทอดยาวขวางแม่น้ำชี) ในฤดูแล้งทั้งสองแก่งก็จะทำหน้าที่ฝายธรรมชาติกั้นน้ำไว้ทำให้แม่น้ำชีบริเวณหาดวังโกยังมีปริมาณน้ำเหลือเฟือพอจะทำให้นักท่องเที่ยวไปเล่นน้ำได้ ถึงแม้ว่าจะแล้งมากเหมือนปี 2556 นั้นก็ตาม


                    หาดวังโก ถูกครอบครองโดยอัตโนมัติจาก คุณเฉลิม ปัดทุม เนื่องจากมีที่ดินที่เป็นโฉนดครอบหาดวังโกทั้งหมด 102 ไร่พอดี ทางคุณเฉลิมปัดทุมได้จัดซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวมาเมื่อปี 2547 และได้พัฒนาแบ่งเป็นค่ายลูกเสือชื่อว่า “ค่ายเสริมสุดา” นักเรียนจะมาเข้าค่ายที่นี่ปีละประมาณ 20,000 คน และมีความคิดริเริ่มจัดการพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยว และได้จัดเทศกาลหาดวังโก ทุก 11-17 เมษายนของทุกปี จนปัจจุบัน 2556 จัดเป็นปีที่ 9 แล้ว และในปีนี้ทางคุณเฉลิม ปัดทุม ได้จัดสร้างสไลเดอร์ผ้าใบขนาดยักษ์ ขนาด 5 x 70 เมตร เพื่อให้ลูกหลานที่มาเที่ยวงานเทศกาลหาดวังโกได้เล่นฟรีๆ ซึ่งสไลเดอร์ดังกล่าวปัจจุบันถือเป็นครั้งแรกในไทยที่ถูกสร้างขึ้น และใหญ่ที่สุดในโลก (ขณะนี้อยู่ระหว่างทำเรื่องขอไปยังกินเนสบุ๊ค) นอกจากนี้ยังมีหอสู50 ฟุตให้โดดข้ามแม่น้ำ ไป-กลับ เรือกล้วย เจทสกี ห่วงยางเล่นน้ำ ร่มและเต้นผ้าใบชายหาดเหมือนกับชายทะเลอีกด้วย 




9. บึงบอน อำเภอ โกสุมพิสัย

                    บึงบอนเป็นหนองน้ำขนาดใหญ่ มีเนื้อที่ 120 ไร่ และมีถนนรอบบึงซึ่งได้รับงบพัฒนาฯ จากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย โดยมีความกว้าง 5 เมตร ยาว 2,689 เมตร นับว่าเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจอีกแห่งหนึ่ง บึงบอนเหมาะสำหรับการพักผ่อนหย่อนใจในวันหยุดนอกจากนี้ยังเหมาะแก่การเดินหรือวิ่งออกกำลังกายในยามเช้าและยามเย็น สำหรับผู้ที่รักในการปั่นจักรยานก็สามารถนำจักรยานเข้ามาปั่นออกกำลังกายได้ทั้งในช่วงเวลาเช้าและเวลาเย็น บึงบอนเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เหมาะแก่การท่องเที่ยวทั้งปีเพราะเป็นสถานที่ที่มีอากาศดีและร่มรื่นเป็นอย่างมาก ตลอดสองข้างทางนักท่องเที่ยวจะได้พบกับต้นไม้น้อยใหญ่มากมาย 


                 อีกทั้งนักท่องเที่ยวจะได้ชมภาพสะท้อนของต้นไม้บนผิวน้ำในยามเย็นนับว่าเป็นภาพที่สวยงามมาก เมื่อออกไปในบึงที่มีขนาดใหญ่สุดลูกหูลูกตา บึงบอนจัดว่าเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจที่สำคัญของอำเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม เป็นสถานที่ที่ครอบครัวจะใช้เวลาร่วมกันพักผ่อน รวมทั้งเป็นสถานที่สำหรับเด็กๆวิ่งเล่นอย่างปลอดภัย บึงบอนเปรียบเหมือนปอดของชาวโกสุมพิสัย เนื่องมาจากบรรยากาศที่ร่มรื่น เหมาะสำหรับการสูดอากาศบริสุทธิ์จากต้นไม้น้อยใหญ่มากมาย ฉะนั้นหากนักท่องเที่ยวได้มีโอกาสผ่านไปมาบริเวณอำเภอโกสุมพิสัยจึงไม่ควรพลาดที่จะแวะพักที่บึงบอน ถ่ายรูปเก็บความประทับใจกับบรรยากาศที่สวยงามและร่มรื่นของบึงบอนไว้ 


10. ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง

                       ศาลหลักเมืองมหาสารคาม ตั้งขึ้นครั้งแรกในปีพ.ศ.2408 เมื่อท้าวมหาชัย เจ้าเมืองมหาสารคามคนแรกได้รวบรวมไพล่พลจากจังหวัดร้อยเอ็ดมาตั้งเมืองใหม่ ได้สร้างศาลหลักเมืองและอัญเชิญเจ้าพ่อหลักเมืองมาประทับ เพื่อเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง ถือว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์มากและ เป็นที่เคารพสักการะของชาวจังหวัดมหาสารคามมาอย่างยาวนานจึงอาจกล่าได้ว่าชาวบ้านมหาสารคามให้ความเคารพนับถือศาลหลักเมืองเป็นอย่างมาก โดยศาลหลักเมืองปัจจุบัน สร้างขึ้นเมื่อพุทธศักราช 2455 เดิมเป็นศาลไม้ ต่อมาในปีพุทธศักราช 2495 ได้ก่อสร้างศาลหลักเมืองหลังใหม่ และขยายบริเวณที่ตั้งศาลให้กว้างขวางออกไปอีกด้วย จนกระทั่งปีพุทธศักราช 2527 มีการบูรณะศาลหลักเมืองอีกครั้งหนึ่ง 


                      โดยให้กรมศิลปากรออกแบบให้ถูกต้องตามจารีตประเพณีโบราณ ปัจจุบันนี้มีลักษณะเป็นอาคารจตุรมุข มีทางขึ้นทั้งสี่ทิศ เสาหลักเมืองทำด้วยไม้ชัยพฤกษ์ (ไม้คูนหรือแก่นคูน) แกะสลักลงรักปิดทองอย่างสวยงาม ศาลหลักเมืองมหาสารคาม อยู่ติดถนนนครสวรรค์ หน้าโรงเรียนหลักเมืองซึ่งเป็นถนนสายหลักที่แทบทุกคนจะต้องผ่านอยู่บ่อยๆ แม้กระทั่งคนที่เดินทางไกลจาก กทม. ผ่านมหาสารคามไปยังกาฬสินธุ์-สกลนคร-นครพนม-บ้านแพง-เรณูนคร ก็จะต้องผ่านหน้าศาลหลักเมืองมหาสารคามด้วยเช่นกัน ชาวเมืองและผู้ที่ผ่านไปมาต่างยกมือไหว้ หรือบีบแตรเมื่อผ่านหน้าศาลหลักเมืองแห่งนี้เมืองนี้ชาวมหาสารคามเชื่อกันว่ามีความศักดิ์สิทธิ์มาก จึงทำให้ผู้คนที่ผ่านไปผ่านมาได้ให้ความเคารพเชื่อถือกันหากใครต้องการสำเร็จในสิ่งใดไม่ว่าจะเป็นเรื่องการงานหรือเรื่องเรียนก็จะนิยมไปบนกับศาลเจ้าพ่อหลักเมืองกันหากท่านใดผ่านมาก็เชิญแวะสักการะศาลเจ้าพ่อหลักเมืองได้เพื่อความเป็นสิริมงคล ฉะนั้นหากนักท่องเที่ยวมีโอกาสผ่านไปมาบริเวณอำเภอเมืองมหาสารคามก็ไม่ควรพลาดที่จะแวะสักการะศาลหลักเมืองมหาสารคามเพื่อความเป็นสิริมงคลและเพื่อให้การเดินทางราบรื่นปลอดภัยรวมทั้งเพื่อขอพรตามที่ประสงค์

















0 ความคิดเห็น:

ทำไมถึงขึ้นอันดับ 1 Addmission

14:16:00 0 Comments

ทำไมถึงขึ้นอันดับ 1 Addmission



คณะการบัญชีและการจัดการ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
ขึ้นอันดับ 1 Addmission 2559









               คณะการบัญชีและการจัดการ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม คณะยอดนิยมมาแรง! แอดมิชชั่นส์ปี 2559 นักเรียนทั่วประเทศเลือกสมัครมหาวิทยาลัยมหาสารคาม "คณะการบัญชีและการจัดการ"  
โดยคณะการบัญชีและการจัดการ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม มีระบบการจัดการเรียนการสอนที่เป็นเลิศทางด้านบริหารธุรกิจอันดับหนึ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 

             รองศาสตราจารย์ ดร.ปพฤกษ์บารมี อุตสาหะวาณิชกิจ คณบดีคณะการบัญชีและการจัดการ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม และตัวแทนนิสิตของคณะฯ ได้ให้สัมภาษณ์กับทีมข่าวสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสี ช่อง 3 นำโดย คุณชญตร์ มุกดาหาร ผู้สื่อข่าวช่อง 3 ในวันที่ 13 – 14 มิถุนายน 2559
           โดย คณบดีคณะการบัญชีและการจัดการ ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับ อันดับคณะ/สาขาวิชาที่มีผู้สมัครมากที่สุด ในระบบ Admission ประจำปีการศึกษา 2559 ซึ่งหลักสูตรบัญชีบัณฑิต (สาขาวิชาการบัญชี) คณะการบัญชีและการจัดการ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม มีผู้สมัครสอบคัดเลือกเข้าศึกษามากที่สุดอันดับที่ 1 ของประเทศ มากกว่า 1,405 คน และระบบการจัดการเรียนการสอนที่เป็นเลิศทางด้านบริหารธุรกิจอันดับหนึ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 
            นอกจากนี้ ได้สัมภาษณ์นิสิตคณะการบัญชีและการจัดการ 2 คน ที่ผ่านการสอบคัดเลือก และได้เข้ามาศึกษา และสัมผัสกับบรรยากาศการเรียนการสอนในคณะด้วยความประทับใจและความภาคภูมิใจ













MAHASARAKHAM BUSINESS SCHOOL 
" Leads You To Success "

0 ความคิดเห็น:

เรียนที่ไหนดี? 10 มหาวิทยาลัยดัง ที่มีชื่อเสียง

14:02:00 0 Comments


มหาวิทยาลัยยอดนิยมของไทย ปี 2016



ช่วงเวลาแห่งการเริ่มต้นชีวิตนิสิตนักศึกษา    กำลังเริ่มต้นขึ้นแล้ว
สำหรับน้องๆ ม.6 ที่กำลังเตรียมตัวยื่นคะแนนเข้ามหาวิทยาลัย สมัครสอบตรงและเตรียมตัวสอบสัมภาษณ์กัน หลายคนคงมีตัวเลือกมหาวิทยาลัยในใจกันอยู่บ้างแล้ว แต่หลายคนยังคงลังเล สำหรับน้องๆ ม.6 ที่กำลังเตรียมตัวยื่นคะแนนเข้ามหาวิทยาลัยสมัครสอบตรงและเตรียมตัวสอบสัมภาษณ์กัน หลายคนคงมีตัวเลือกมหาวิทยาลัยในใจกันอยู่บ้างแล้ว แต่หลายคนยังคงลังเล ที่นั่นก็ชอบที่นี่ก็ใช่ ออกอาการรักพี่เสียดายน้องกันอยู่บ้าง เราก็เลยขอรวบรวมคลิปวิดีทัศน์แนะนำมหาวิทยาลัยในไทยมาให้ชมเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจกันดู  ซึ่งแต่ละวีดีทัศน์ที่นำมาเสนอนั้น ขอบอกเลยว่า บรรยากาศการเรียนการสอน ภูมิทัศน์สิ่งแวดล้อมทั้งในและนอกมหาวิทยาลัย รวมถึงหลักสูตรที่เปิดสอนถือได้ว่าน่าสนใจสูสีกันมากเลยทีเดียว ตามมาชมกันดีกว่า  

1. มหาวิยาลัยมหิดล 




 มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นมหาวิทยาลัยที่มีประวัติยาวนานที่สุดของประเทศไทย 
ตั้งแต่การเป็นโรงเรียนแพทย์ ณ โรงพยาบาลศิริราช ชื่อว่า “โรงเรียนแพทยากร” 
ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2432 เลยล่ะ เมื่อปี พ.ศ. 2549 
            มหาวิทยาลัยมหิดลได้รับการจัดอันดับให้เป็นมหาวิทยาลัยระดับดีเลิศและเป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 1 ทั้งในด้านการเรียนการสอนและการวิจัย 
จากการจัดอันดับมหาวิทยาลัยของไทยอีกด้วย
                โดยปัจจุบันมหาวิทยาลัยมหิดลจัดการเรียนการสอนใน 15 คณะ บัณฑิตวิทยาลัย วิทยาลัย และสถาบันต่าง ๆ รวมทั้งหมด 551 หลักสูตร
โดยแบ่งออกเป็น 4 ส่วนใน 6 พื้นที่คือ มหาวิทยาลัยมหิดล กรุงเทพมหานครฯ
 (ประกอบด้วยพื้นที่บางกอกน้อย พญาไท และวิทยาลัยการจัดการ),
มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา, มหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาเขตกาญจบุรี,
มหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาเขตนครสวรรค์ และ มหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาเขตอำนาจเจริญ

2.จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย



    จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศไทย
ได้รับการจัดอับดับให้เป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศทั้งในสาขาศิลปศาสตร์และมนุษยศาสตร์ สาขาวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ สาขาเวชชีวศาสตร์ สาขาวิทยาศาสตร์ และสาขาสังคมศาสตร์ และได้รับการรับรองมาตรฐานการศึกษา
ในระดับดีมากจากสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา
อีกทั้งยังเป็น 1 ใน 9 มหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาติอีกด้วย
                ปัจจุบัน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเปิดการเรียนการสอนใน 19 คณะ
บัณฑิตวิทยาลัย วิทยาลัย และสถาบันต่าง ๆ รวมทั้งสิ้น 540 สาขาวิชา
หลักสูตรนานาชาติและภาษาอังกฤษ รวมทั้งสิ้น 85 สาขาวิชา นอกจากนี้ ยังได้จัดตั้งสถาบันวิจัยขึ้นภายในมหาวิทยาลัยอีกหลายแห่งเพื่อดำเนินการวิจัยในศาสตร์ต่าง ๆ อีกด้วย
3.มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ




 เรียกได้ว่าเป็นมหาวิทยาลัยเอกชนอันดับหนึ่งของประเทศเลยทีเดียว
สำหรับมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ หรือเอแบค ถือเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศไทยที่มีระบบการเรียนการสอนหลักสูตรนานาชาติ และมีจำนวนศาสตราจารย์มากที่สุดในประเทศไทย จุดเด่นของที่นี่คือการเรียนการสอนที่เน้นให้นักศึกษาใช้ทักษะทางด้านภาษา คือมีการเรียนการสอนที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก ทั้งการฟัง พูด อ่าน เขียน เรียกได้ว่านักศึกษาที่จบจากมหาวิทยาลัยแห่งนี้ถือได้ว่ามีพื้นฐานการใช้ภาษาอังกฤษกันแน่นอน และด้วยมาตรฐานระดับโลกจึงทำให้มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ
ติดอยู่ในอันดับที่ 18 มหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในประเทศไทย

ข้อมูลเพิ่มเติม เว็บไซต์ของมหาวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ 

4.มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์






มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นมหาวิทยาลัยของรัฐแห่งแรกของประเทศไทยที่เปิดสอนหลักสูตรทางด้านการเกษตร ก่อตั้งขึ้นเป็นลำดับที่ 3 ของประเทศ มีวิทยาเขตที่เปิดทำการสอนทั้งหมด 4 วิทยาเขตได้แก่ วิทยาเขตบางเขน วิทยาเขตกำแพงแสน วิทยาเขตศรีราชา
และวิทยาเขตเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดสกลนครทั้งยังมีโครงการจัดตั้งวิทยาเขตสุพรรณบุรี
อีกหนึ่งแห่งด้วย
                มีหน่วยงานที่เปิดการสอน 28 คณะ 2 วิทยาลัย และสถาบันสมทบอีก 2 แห่ง
มีหลักสูตรที่เปิดทำการสอน 373 หลักสูตร โดยเป็นหลักสูตรนานาชาติ 38 หลักสูตร
นอกจากนี้ ยังได้จัดตั้งสถาบันวิจัยขึ้นตามจังหวัดต่าง ๆ หลายแห่งเพื่อดำเนินการวิจัยในศาสตร์ต่าง ๆ อีกด้วย
ข้อมูลเพิ่มเติม เว็บไซต์ของมหาวิทยาลัย : http://www.ku.ac.th/ คลิ๊ก!!

5.มหาวิทยาลัยเชียงใหม่






  มหาวิทยาลัยเชียงใหม่สำหรับใครที่กำลังมองหามหาวิทยาลัยห่างไกลเมืองหลวงเพื่อหนีความวุ่นวาย หรือมีความชื่นชอบธรรมชาติ อยากสูดอากาศสะอาดบริสุทธิ์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจไม่น้อย เพราะเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำที่มีความเป็นเลิศทางด้านวิชาการในระดับสากล รวมถึงยังเป็นมหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาติอีกด้วย นอกจากนี้มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ยังเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกในส่วนภูมิภาคของประเทศไทยที่ใช้ชื่อตามจังหวัดเป็นแห่งแรก และเป็นศูนย์กลางการศึกษาของภาคเหนือ

ข้อมูลเพิ่มเติม เว็บไซต์ของมหาวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ คลิ๊ก!!

6.มหาวิทยาลัยขอนแก่น








    มหาวิทยาลัยขอนแก่น เป็นมหาวิทยาลัยเก่าแก่ที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือโดยมีอัตราการสอบแข่งขันเข้าเรียนมากที่สุดในภูมิภาค มหาวิทยาลัยขอนแก่น
เป็นหนึ่งในบรรดามหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศไทย และได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในเก้ามหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาติจากกระทรวงศึกษาธิการอีกด้วย โดยเปิดหลักสูตรรวมทั้งสิ้น 317 หลักสูตรด้วยกัน

ข้อมูลเพิ่มเติม เว็บไซต์ของมหาวิทยาลัย : มหาวิทยลัยขอนแก่น  คลิ๊ก!!

7.มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์





 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  เรียกได้ว่าเป็นมหาวิทยาลัยขวัญใจเด็กไทยเช่นเดียวกัน สำหรับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งเด็กไทยจำนวนไม่น้อยต่างมีความฝันที่จะสอบติดและได้เป็นลูกแม่โดมกัน แต่เดิมมหาวิทยาลัยแห่งนี้มีจุดประสงค์เพื่อเป็นตลาดวิชา เพื่อการศึกษาด้านกฏหมายและการเมืองสำหรับประชาชนทั่วไป โดยใช้ชื่อว่า“มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง” ถือเป็นมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่เป็นอันดับ 2 ของประเทศ 
        
        ส่วนในปัจจุบันมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้ดำเนินการตามพันธกิจในการให้การศึกษา ส่งเสริมวิชาการ และวิชาชีพชั้นสูง ให้บริการวิชาการแก่สังคมทำนุบำรุงศิลปะวัฒนธรรมของชาติ และเป็นผู้นำในการผลักดันและส่งเสริมการสร้างโอกาส ความเสมอภาคและความถูกต้องของสังคมตามระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ดังคำกล่าวที่ว่า "ฉันรักธรรมศาสตร์ เพราะธรรมศาสตร์สอนให้ฉันรักประชาชาชน"
ข้อมูลเพิ่มเติม เว็บไซต์ของมหาวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คลิ๊ก!!

8.มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์






 ต่อกันที่"มหาวิทยาลัยแห่งแรกในภาคใต้"กันบ้าง นั้นคือมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ถือเป็นมหาวิทยาลัยวิจัยแห่งเดียวในภาคใต้ และเป็น 1 ใน 9 มหาวิทยาลัยวิจัยของไทยในปัจจุบัน สำหรับวิทยาเขตของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์นั้นมีทั้งวิทยาเขตหาดใหญ่ วิทยาเขตปัตตานี วิทยาเขตภูเก็ต วิทยาเขตสุราษฏร์ธานี และวิทยาเขตตรัง และตลอดการพัฒนาที่ยาวนานนับตั้งแต่ก่อตั้งขึ้นเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของภาคใต้มาสู่มหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ
   
ข้อมูลเพิ่มเติม เว็บไซต์ของมหาวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ คลิ๊ก!!

9.มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี







 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐ
ที่ไม่เป็นส่วนราชการ อยู่ในกำกับของรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย
เป็นเมืองมหาวิทยาลัยที่มุ่งเสริมสร้างความคล่องตัว และ ประสิทธิภาพในการบริหาร
ส่งเสริมเสรีภาพทางวิชาการในการดำเนินงาน
  เป็นชุมชนทางวิชาการที่เป็น แหล่งรวมผู้รู้ ผู้เรียน และสรรพวิทยาการด้านศิลปศาสตร์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่มีคุณประโยชน์ต่อ บุคคล และสังคมมหาวิทยาลัยแห่งนี้
มีปณิธานอันมั่นคง
ที่จะดำรงความเป็นเลิศในทุกภารกิจ พัฒนาคุณ ภาพชีวิต มุ่งผลสัมฤทธิ์ในการสะสม
และสร้างสรรค์ภูมิรู้ภูมิธรรม และภูมิปัญญา เพื่อพัฒนามนุษยชาติิ ชั่วนิรันดร์


ข้อมูลเพิ่มเติม เว็บไซต์ของมหาวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี คลิ๊ก!!

10.มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี






    มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) หรือที่รู้จักในชื่อ “บางมด” เป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงด้าน วิศวกรรมศาสตร์ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สถาปัตยกรรมศาสตร์ ปัจจุบันเปิดทำการสอน 8 คณะ 1 สถาบัน 1 บัณฑิตวิทยาลัย 1 โครงการร่วมบริหาร ทั้งในหลักสูตรปกติ สองภาษาและนานาชาติ ในระดับปริญญาตรี โท และเอก มากที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทยด้วย


ข้อมูลเพิ่มเติม เว็บไซต์ของมหาวิทยาลัย :  มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี คลิ๊ก!!



    เรียนอะไรก็ได้ ที่ตัวเองชอบจริงๆจะดีกว่าค่ะ
มันจะเรียนได้ดี จบมาก็จะทำงานด้านนั้นๆได้ดีเองด้วย
แต่ต้องสังเกตความสามารถตัวเองกับสิ่งที่ชอบด้วยนะคะ
ให้มันสมดุลย์กัน ไม่ใช่ว่าใจรัก แต่ความสามารถไม่ให้







เกรดไม่ได้วัดความสามารถของคนเสมอไป
^__^


0 ความคิดเห็น: